หนองใน (Gonorrhea) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria gonorrhoeae ซึ่งติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก โดยไม่สวมถุงยางอนามัย

สาเหตุหลักของการติดเชื้อ หนองใน (Gonorrhea)
คือ การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันกับผู้ที่ติดเชื้อ โดยแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae
1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
- ช่องคลอด
- ทางทวารหนัก
- ทางปาก (oral sex)
2. การมีคู่นอนหลายคน
- ยิ่งมีคู่นอนมาก โอกาสติดเชื้อจากผู้ที่มีเชื้ออยู่จะสูงขึ้น
3. การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
- ทารกอาจติดเชื้อระหว่างคลอด ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตาหรือระบบอื่นๆ
4. การไม่ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ
- ทำให้ไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ และอาจแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น
สรุป: สาเหตุหลักคือ พฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย และ การขาดการตรวจสุขภาพทางเพศอย่างสม่ำเสมอ
🔬 วิธีตรวจโรค หนองใน
การตรวจหนองในทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับเพศและอาการ:
ในผู้ชาย:
- การเก็บตัวอย่างหนองจากปลายอวัยวะเพศ
- ปัสสาวะช่วงแรก (First-void urine) เพื่อหาดีเอ็นเอของเชื้อ
ในผู้หญิง:
- การเก็บตัวอย่างตกขาวจากช่องคลอดหรือปากมดลูก โดยใช้ไม้พันสำลี
- ตรวจปัสสาวะ เช่นเดียวกับผู้ชาย
วิธีการตรวจหนองใน:
- NAAT (Nucleic Acid Amplification Test)
- เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด ใช้ตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ (มักใช้ปัสสาวะหรือตัวอย่างสารคัดหลั่ง)
- การเพาะเชื้อ (Culture)
- ใช้เพาะแบคทีเรียจากสารคัดหลั่ง ใช้เวลา 2-3 วัน เหมาะกับกรณีดื้อยา
- Gram Stain (การย้อมสีแกรม)
- ใช้ดูเชื้อภายใต้กล้องจุลทรรศน์ เร็วแต่แม่นยำน้อยกว่าวิธีอื่น
⏱️ ควรตรวจหนองในเมื่อใด?
- มีอาการผิดปกติ เช่น ปัสสาวะแสบขัด, หนอง, ตกขาวผิดปกติ
- หลังมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยง (เช่น ไม่ใช้ถุงยาง)
- ตรวจประจำปี หรือทุก 3-6 เดือน ถ้ามีคู่นอนหลายคน
เชื้อนี้ติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งผ่านการสัมผัสทางเพศโดยตรง เช่น การสอดใส่ การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือทวารหนัก โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือการป้องกันที่เหมาะสม
สาเหตุหลักของการติดเชื้อ หนองใน
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก เป็นช่องทางหลักที่เชื้อ Neisseria gonorrhoeae แพร่เข้าสู่ร่างกายได้ง่าย - การมีคู่นอนหลายคน
ยิ่งมีคู่นอนหลายคน ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อก็สูงขึ้น โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ - การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว
หนองในอาจไม่มีอาการในบางราย โดยเฉพาะในผู้หญิง ทำให้แพร่เชื้อไปยังคู่นอนได้โดยไม่รู้ตัว - การติดเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะคลอด
ทารกที่คลอดผ่านช่องคลอดของแม่ที่ติดเชื้อ อาจได้รับเชื้อเข้าสู่ดวงตา ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ตา หรืออักเสบอย่างรุนแรง - พฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงสูง
เช่น มีเพศสัมพันธ์แบบไม่เลือกคู่ ใช้ของเล่นทางเพศร่วมกันโดยไม่ล้างทำความสะอาด และไม่ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
การแพร่กระจายของเชื้อ หนองใน
เชื้อหนองในสามารถติดต่อได้จาก:
- การสัมผัสโดยตรง ระหว่างเยื่อบุอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปาก
- การใช้อุปกรณ์ทางเพศร่วมกัน โดยไม่ล้างทำความสะอาด
- จากแม่สู่ลูกในระหว่างคลอด
- ไม่พบว่าติดต่อผ่านการใช้อ่างน้ำร่วมกันหรือที่นั่งชักโครก เนื่องจากเชื้อหนองในไม่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกายได้เป็นเวลานาน
อาการของโรคหนองใน
ในผู้ชาย:
- ปัสสาวะแสบขัด
- มีหนองไหลออกจากปลายอวัยวะเพศ สีขาว เหลือง หรือเขียว
- ปวดหรือบวมที่อัณฑะ (บางราย)
- อาจมีแผลที่ทวารหนักหากติดเชื้อทางทวาร
ในผู้หญิง:
- ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่น หรือสีเปลี่ยนไป อาจมีสีเขียว หรือสีเหลือง
- ใช้ยาปฏิชีวนะทั่วไปไม่สามารถรักษาหายได้
- ปวดท้องน้อย
- ปัสสาวะแสบขัดหรือบ่อย
- มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน
- บางรายไม่แสดงอาการเลย
อาการในตำแหน่งอื่น:
- คอหอย: เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต
- ทวารหนัก: คัน เจ็บ มีเลือดหรือหนอง
- ตา (ในทารก): ตาแดง บวม มีหนองออกจากตา
ผลกระทบหากไม่รักษา
หากไม่รักษา โรคหนองในอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนดังนี้:
- ในผู้หญิง:
- โรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID)
- ภาวะมีบุตรยาก
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก
- ในผู้ชาย:
- อัณฑะอักเสบ
- ภาวะมีบุตรยาก (หากเชื้อแพร่สู่หลอดนำอสุจิ)
- ในทั้งสองเพศ:
- การติดเชื้อในข้อต่อ หัวใจ หรือระบบประสาท
- เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
แนวทางการวินิจฉัย หนองใน
การวินิจฉัยโรคหนองในทำได้โดย:
- เก็บตัวอย่างสารคัดหลั่ง เช่น หนองจากอวัยวะเพศ ตกขาว หรือคอหอย
- เก็บปัสสาวะช่วงต้น (first-void urine) เพื่อตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อ
- การเพาะเชื้อ เพื่อดูความไวต่อยาปฏิชีวนะ
- NAAT (Nucleic Acid Amplification Test) ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด
การรักษาโรค หนองใน
การรักษาหลักคือการใช้ ยาปฏิชีวนะ เช่น:
- Ceftriaxone 500–1000 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียว
- หากไม่สะดวกฉีดยา แพทย์อาจจ่ายเป็น Cefixime เพื่อรักษาหนองในแท้ หรืออาจจ่ายยา NSAIDs ร่วมด้วยในกรณีมีอาการแสบขัดในท่อปัสสาวะ
- หากมีความเสี่ยงติดหนองในเทียมร่วมด้วย แพทย์อาจให้ Doxycycline หรือ Azithromycin เพิ่ม
- กรณีเป็นหนองในแท้ จำเป็นต้องรักษาหนองในเทียมร่วมด้วย ร่วมกับการรักษาคู่นอนเสมอ
หมายเหตุ: ห้ามหยุดยาหรือเปลี่ยนยาเอง เพราะอาจทำให้เชื้อดื้อยา
หากมีความสงสัยเกี่ยวกับอาการที่เป็นอยู่ สามารถปรึกษาเภสัชกรได้โดยตรงพร้อมสั่งยารักษา โดยแอดไลน์ @733khpqc หรือ Scan QR CODE โดยกดลิงค์ที่ข้อความนี้ได้เลยค่ะ

การป้องกันโรค
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
- พูดคุยกับคู่นอนเกี่ยวกับการตรวจโรคก่อนมีเพศสัมพันธ์
- หากติดเชื้อ ต้องแจ้งและพาคู่ไปรักษาด้วย
🛡️ การป้องกันโรค หนองใน (อย่างละเอียด)
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- ถุงยางช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มาก ทั้งจากการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก และทางปาก
- หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน
- มีคู่นอนประจำคนเดียว และควรมั่นใจว่าคู่นอนไม่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีอาการผิดปกติ
- เช่น มีตกขาวผิดปกติ, แสบขัดเวลาปัสสาวะ, มีหนองหรือแผลที่อวัยวะเพศ
- ตรวจสุขภาพทางเพศเป็นประจำ
- โดยเฉพาะผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ควรตรวจทุก 3-6 เดือน
- ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัวหรือชุดชั้นใน
- แม้จะติดยากจากสิ่งของเหล่านี้ แต่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อความปลอดภัย
โรคหนองในเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือไม่ใช้ถุงยางอนามัย มีโอกาสติดเชื้อได้สูง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงทั้งในระบบสืบพันธุ์และอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย การมีความรู้ ความเข้าใจ และการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างถูกต้อง คือกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคนี้อย่างมีประสิทธิภาพ
** หากมีความสงสัยเกี่ยวกับอาการที่เป็นอยู่ สามารถปรึกษาเภสัชกรได้โดยตรง โดยแอดไลน์ @733khpqc หรือ Scan QR CODE ด้านล่างได้เลยค่ะ
